เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานคร 2025 จัดเวทีสัมมนา ชูหนังไทยเป็น Soft Power ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแบรนด์

เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานคร 2025 จัดเวทีสัมมนา ชูหนังไทยเป็น Soft Power ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแบรนด์

BKKIFF 2025 เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ เริ่ม 27 กันยายน – 15 ตุลาคม 2568 จุใจกับกว่า 200 หนังดังจาก 40 ประเทศ ทั้งหนังรางวัล หนังฮิต และหนังหาดูยาก ที่รวมไว้ที่เดียวในกรุงเทพฯ ห้ามพลาด!

เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานคร 2025 จัดเวทีสัมมนา ชูหนังไทยเป็น Soft Power ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแบรนด์

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้ชมที่ท้าทายอุตสาหกรรมบันเทิง เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานคร 2025 (Bangkok International Film Festival 2025) กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะเวทีสำคัญที่เชื่อมโยงผู้สร้างภาพยนตร์ นักลงทุน ผู้จัดจำหน่าย และผู้ชมเข้าด้วยกัน ผ่านกิจกรรมมากมาย ทั้งการฉายภาพยนตร์ระดับนานาชาติ และกิจกรรม “ตลาดหนัง” ที่เป็นโอกาสสำคัญให้ผู้สร้างคอนเทนต์ได้พบปะกับผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และนักลงทุนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โดยไฮไลท์ในปีนี้ เทศกาลฯ ได้ร่วมมือกับ BrandThink จัดงานสัมมนาหลากหลายหัวข้อจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อชวนสำรวจบทบาทใหม่ของภาพยนตร์ในฐานะ Soft Power ที่ไม่เพียงสร้างความบันเทิง แต่ยังเป็น “พลังขับเคลื่อน” สำคัญทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ พร้อมเปิดมุมมองว่าคอนเทนต์ไทยสามารถต่อยอดสู่เวทีโลก สร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างยั่งยืน

คุณพิมพกา โตวิระ Executive Director ผู้ดูแล “ตลาดหนัง” เปิดเผยว่า หนึ่งในหัวใจสำคัญของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปีนี้ คือการจัดกิจกรรม “ตลาดหนัง” ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสู่เวทีนานาชาติ โดยตลาดหนังจะทำหน้าที่เป็นเวทีเชื่อมโยงระหว่างผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์กับนักลงทุนและผู้ซื้อจากทั่วโลก ผ่านกิจกรรมที่ครอบคลุมทั้งการเจรจาธุรกิจ กิจกรรม Pitching Project จากผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ไทยและเอเชีย ตลอดจนมาสเตอร์คลาสจากผู้กำกับและนักแสดงระดับโลก ซึ่งทั้งหมดจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจให้แก่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยอย่างรอบด้าน และอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของงานกับเวทีสัมมนา ที่จัดร่วมกับ BrandThink ครอบคลุมหัวข้อสุดเข้มข้น เพื่อขยายมุมมองของการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจจากภาพยนตร์ และตอกย้ำว่าภาพยนตร์คืออนาคตที่ไม่ควรมองข้าม

Beyond the Screen — หนังไทยกับโอกาสทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยต้องจับตา

เริ่มต้นเวทีแรกด้วยหัวข้อ Beyond the Screen — หนังไทยกับโอกาสทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยต้องจับตา” ที่สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไม่ได้เป็นเพียงศิลปะการเล่าเรื่อง แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สร้างงาน สร้างรายได้ และต่อยอดไปจนถึงการสร้าง “อิทธิพลทางวัฒนธรรม” ที่มีคุณค่าต่อประเทศอย่างมหาศาล

หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล อดีตประธานคณะอนุกรรมการการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ของ THACCA ฉายให้เห็นถึงความสำคัญของภาพยนตร์ไว้อย่างน่าสนใจว่า “ภาพยนตร์ไม่ใช่เพียงแค่สื่อบันเทิงที่สร้างอารมณ์และแรงบันดาลใจ แต่ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล ตั้งแต่การลงทุน การจ้างงาน และการใช้จ่ายในหลากหลายมิติ สิ่งเหล่านี้คือเม็ดเงินที่หมุนเวียนและสร้างรายได้ให้กับชุมชนโดยตรง อีกทั้งประเทศไทยยังมีมาตรการส่งเสริมที่แข็งแรง เช่น Cash Rebate ที่ดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์ต่างชาติให้เลือกประเทศไทยเป็นโลเคชันสำหรับการถ่ายทำ ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมรองรับมาตรฐานสากล เราจึงมีศักยภาพในการแข่งขันสูงบนเวทีโลก รวมถึงหลายจังหวัดเริ่มผลักดันตัวเองสู่การเป็น Film City เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการถ่ายทำโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยกระจายโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคต่างๆ และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้อย่างยั่งยืน”

ด้าน คุณยงยุทธ ทองกองทุน อดีตผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์ประจำประเทศไทย Netflix เล่าว่า “การมาของแพลตฟอร์มสตรีมมิงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการยกระดับคอนเทนต์ไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานสากล และเปิดโอกาสให้คอนเทนต์ไทยเผยแพร่ไปสู่ผู้ชมทั่วโลก พร้อมได้สัมผัสเรื่องราวจากมุมมองของคนไทย หลายผลงานจาก Netflix Thailand ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ นับเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าภาพยนตร์และซีรีส์ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างแท้จริง ซึ่งช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ การร่วมมือกับหน่วยงานอย่างสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ในการพัฒนานักสร้างสรรค์คอนเทนต์รุ่นใหม่ให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ถือเป็นกลไกสำคัญในการต่อยอดอุตสาหกรรมคอนเทนต์ของไทยให้ก้าวไปข้างหน้าและสามารถเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้จริง”

คุณอิศรา เปี่ยมพงศ์สานต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านส่งเสริมเครือข่ายอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เสริมว่า “CEA ในฐานะหน่วยงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เล็งเห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทย ทั้งการจ้างงาน การท่องเที่ยว และการพัฒนาชุมชน เราจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาทักษะให้กับคนรุ่นใหม่ผ่านโครงการ Content Lab ให้มีความรู้ ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานให้มีความโดดเด่นและคุณภาพที่ตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและสากล ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยสามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้ในระดับสากล”

Thailand as Film Destination — เมื่อ Hyper Local Content พาไทยสู่หมุดหมายของโลกภาพยนตร์

ต่อด้วยหัวข้อที่สอง Thailand as Film Destination — เมื่อ Hyper Local Content พาไทยสู่หมุดหมายของโลกภาพยนตร์” ที่จะชวนสำรวจศักยภาพของไทยในการเป็นจุดหมายสำคัญของผู้สร้างหนังต่างชาติ และสร้าง Film-induced Tourism จากคอนเทนต์ไทยเอง โดยมีจุดแข็งคือ Hyper Local Content ที่หยั่งรากในวัฒนธรรมแต่เล่าได้อย่างร่วมสมัย

คุณอนุชา บุญยวรรธนะ อดีตนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ได้ให้คำนิยามของคำว่า Hyper Local ไว้ว่า “การเล่าเรื่องคือ หัวใจสำคัญที่ทำให้ Hyper Local Content ถ่ายทอดออกมาอย่างจริงใจและซื่อสัตย์ต่อผู้ชม ผ่านตัวตนและประสบการณ์จริงของคนสร้างซึ่งเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นท้องถิ่นให้น่าจดจำและมีเสน่ห์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมโยงกับผู้ชมที่มีรากฐานวัฒนธรรมเดียวกัน และเปิดโอกาสให้ผู้ชมต่างชาติสัมผัสความแตกต่างในมิติใหม่ นอกจากนี้ การจะทำให้ภาพยนตร์สามารถไปสู่ระดับ Global ได้จริง ผู้สร้างต้องกล้าออกไปรับฟังความคิดเห็นจากผู้ชมต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับสมดุลระหว่างการรักษาเอกลักษณ์ กับการทำให้คอนเทนต์นั้นสามารถสื่อสารกับโลกได้อย่างเข้าถึงและเป็นสากล ซึ่งหากเราทำได้ ความเป็น Hyper Local ของไทยจะกลายเป็นจุดแข็งที่ดึงดูดสายตาโลก และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Film Destination ที่สำคัญ”

คุณกฤษดา วิทยาขจรเดช ผู้บริหารค่าย Be On Cloud เล่าถึงประสบการณ์ปั้นภาพยนตร์ไทยให้ดังระดับโลกว่า “Be On Cloud มุ่งนำเสนอความเป็นไทยอย่างจริงใจและเป็นธรรมชาติ ด้วยการหยิบวัฒนธรรมท้องถิ่นมาผสมผสานกับเรื่องเล่าร่วมสมัย เพื่อให้ผู้ชมทั้งไทยและต่างชาติสัมผัสเอกลักษณ์แท้จริงโดยไม่ปรุงแต่งเกินจริง เราเชื่อว่าความเป็น Hyper Local คือโอกาสสำคัญที่ทำให้ผลงานไทยโดดเด่นบนเวทีโลก เพราะผู้ชมยุคใหม่ต้องการคอนเทนต์ที่สะท้อนตัวตนและสื่อสารอย่างจริงใจ ขณะเดียวกันกระแสแฟนดอมและโซเชียลมีเดียยังมีส่วนช่วยในการผลักดัน Hyper Local Content ให้กลายเป็น Global Content ได้อย่างรวดเร็ว จนประสบความสำเร็จทั้งในระดับประเทศและสากล ส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ พร้อมสร้างโอกาสใหม่ให้กับอุตสาหกรรมหลากหลายสาขา”

ด้าน คุณธิติ ศรีนวล ผู้กำกับภาพยนตร์ สัปเหร่อ และผู้สร้างจักรวาล ไทบ้าน เล่าว่า “สิ่งที่ผมตั้งใจมาตลอดคือ การเล่าเรื่องอีสานให้ผู้ชมได้สัมผัสเอกลักษณ์อย่างแท้จริง ผ่านภาพยนตร์ที่ยังคงรากเหง้าและความดั้งเดิมโดยไม่ถูกปรุงแต่งจนเสียตัวตน เราศึกษาและเข้าใจอินไซต์ของผู้ชมอย่างลึกซึ้ง เพื่อเปลี่ยนมุมมองของคนที่เคยไม่สนใจ ให้หันกลับมาเปิดใจและชื่นชมความเป็นท้องถิ่นที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน ด้วยการหยิบเอาภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิต รวมถึงความเชื่อมาถ่ายทอดในภาพยนตร์ ที่ไม่เพียงทำให้คนอีสานรู้สึกภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง แต่ยังทำให้ผู้ชมจากต่างถิ่นและต่างชาติมองเห็นเสน่ห์และความจริงใจที่แตกต่าง ซึ่งนี่คือพลังของ Hyper Local Content ที่สามารถขยายไปสู่ระดับสากลได้ และทำให้ผู้คนอยากเข้ามาสัมผัสและเรียนรู้วัฒนธรรมด้วยตัวเอง”

ปิดท้ายที่ คุณศราวุธ แก้วน้ำเย็น Production Designer และ CEO บริษัท พันธุ์ทาง อาร์ตเวิร์ค จำกัด เล่าว่า “ในมุมมองของผู้สร้างสรรค์ ความท้าทายของการทำงานภาพยนตร์คือ การทำให้สิ่งที่เป็นท้องถิ่น หรือ Local กลายเป็นคุณค่าที่ทั้งคนไทยและต่างชาติสามารถมองเห็นและยอมรับได้ โดยไม่ต้องปรุงแต่งจนเสียอัตลักษณ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นภาษาหรือวัฒนธรรมที่อาจเคยถูกมองข้าม แต่เมื่อถูกหยิบมาเล่าในภาพยนตร์ กลับกลายเป็นเอกลักษณ์และสร้างความหมายใหม่ที่น่าภาคภูมิใจ รวมถึงวันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว เรามีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งและโซเชียลมีเดียที่สามารถทำให้คอนเทนต์ท้องถิ่นเข้าถึงผู้คนนับล้านได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นโอกาสที่ทำให้ ‘Local ไทย’ ก้าวไปสู่เวทีโลกและผลักดันให้ไทยกลายเป็นจุดหมายสำคัญของโลกภาพยนตร์”

When Movies move brand impact — เมื่อ ‘แบรนด์เจอหนัง’ คือการสร้างสรรค์ที่ไม่รู้จบ

สำหรับหัวข้อ When Movies move brand impact — เมื่อ ‘แบรนด์เจอหนัง’ คือการสร้างสรรค์ที่ไม่รู้จบ” ที่ชวนมองภาพยนตร์ในมิติใหม่ ไม่ใช่แค่คอนเทนต์เพื่อความบันเทิง แต่เป็นเครื่องมือสื่อสารแบรนด์ที่ทรงพลังและยั่งยืน พร้อมเจาะลึกโอกาสในการร่วมมือระหว่างภาพยนตร์และแบรนด์ ตลอดจนถอดรหัสกลยุทธ์ Movie Marketing ที่ช่วยขยายศักยภาพให้ทั้งหนังและแบรนด์ไปได้ไกลกว่าที่เคย

คุณชวนา แพร่ศรีสกุล Chief Strategy and Services Officer จาก BrandThink เล่าว่า “ภาพยนตร์เป็นฟอร์แมตที่ทรงพลังสำหรับการทำการตลาด เพราะสะท้อนชีวิต ผู้คน และประสบการณ์ ทำให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในความเชื่อและประสบการณ์ของผู้บริโภคได้อย่างเป็นธรรมชาติ การร่วมมือกับภาพยนตร์จึงไม่ใช่เพียงแค่ Tie-in หรือ Product Placement แต่คือการสร้าง ‘คุณค่าร่วม’ ระหว่างหนัง ผู้ชม และแบรนด์ ซึ่งสามารถช่วยสร้าง Brand Love และต่อยอดสู่ยอดขายผ่านแคมเปญหรือโปรโมชัน ดังนั้น การหาพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสมสำหรับ Co-Branding พร้อมสนับสนุนคอนเทนต์ Spin-off จะช่วยขยายฐานแฟนคลับ ในขณะเดียวกัน คนทำหนังต้องสามารถ ‘ขายความเชื่อ’ เพื่อให้เจอแบรนด์ที่มีภาพและความเชื่อสอดคล้องกัน”

คุณภาคย์ วรรณศิริ Chief Creative Officer จาก VML Thailand อธิบายเสริมว่า “การที่แบรนด์เข้ามาอยู่ในภาพยนตร์ทำให้กลายเป็น ‘เครื่องมือทางวัฒนธรรม’ ที่ดึงผู้ชมให้มีส่วนร่วมและแตกต่างจากโฆษณาแบบเดิม การร่วมมือกับหนังช่วยให้แบรนด์เข้าใจและเข้าถึงความเชื่อของผู้คนอย่างแท้จริง รวมถึงแบรนด์ยังสามารถเล่าเรื่องราว วัฒนธรรมองค์กร หรือวิสัยทัศน์ของตนเองได้อย่างลึกซึ้ง และในอนาคต Marketing จะเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่การเขียนบท การผสมผสาน Storytelling ที่เป็นมนุษย์ และการสร้างประสบการณ์จริงจากหนังจะยิ่งมีคุณค่า ดังนั้น หัวใจของ Movie Marketing คือการหาจุดลงตัวระหว่างหนังและแบรนด์เพื่อประโยชน์ร่วมกันสูงสุด”

Roundtable: Next Chapter — ภาพยนตร์จะเป็นอย่างไร เมื่อการฉายในโรงภาพยนตร์ลดน้อยลง

ปิดท้ายด้วยหัวข้อสำคัญ Roundtable: Next Chapter — ภาพยนตร์จะเป็นอย่างไร เมื่อการฉายในโรงภาพยนตร์ลดน้อยลง” ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญในวงการภาพยนตร์มาร่วมสะท้อนมุมมองต่อการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในยุคที่สตรีมมิ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โดยผู้ร่วมเสวนาเห็นตรงกันว่า “คุณภาพ ยังคงเป็นหัวใจของการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ ไม่ว่าจะฉายในโรงหรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะสิ่งสำคัญคือการถ่ายทอดอารมณ์และประสบการณ์ที่เข้าถึงผู้ชมได้อย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน ผู้กำกับยุคใหม่จำเป็นต้องมีความเข้าใจรอบด้าน ทั้งด้านการผลิต การตลาด และพฤติกรรมผู้ชม เพื่อขับเคลื่อนผลงานให้ตอบโจทย์ทั้งบนจอใหญ่และในโลกดิจิทัล

นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนมุมมองที่น่าสนใจว่า โรงภาพยนตร์และสตรีมมิ่งไม่ใช่คู่แข่ง หากแต่เป็นพลังเสริมที่ช่วยต่อยอดซึ่งกันและกัน โดยทั้งสองช่องทางต่างมีเสน่ห์และฐานผู้ชมเฉพาะตัว ซึ่งสามารถหลอมรวมเพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์ได้ในอนาคตอีกด้วย

อีกทั้ง ยังมีการหยิบยกประเด็นสำคัญเรื่อง “ความเท่าเทียมของคนทำหนัง” โดยเสนอให้เกิดแนวทางสนับสนุนผู้สร้างรายย่อยให้มีอำนาจต่อรองและพื้นที่นำเสนอผลงานที่หลากหลาย เพื่อให้ภาพยนตร์ทุกเรื่องได้รับโอกาสเติบโตอย่างเป็นธรรม และช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน